เช็กให้ชัวร์ 15 สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไร


รถสตาร์ทไม่ติดเป็นปัญหาที่ใคร ๆ ก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะเป็นปัญหาชวนปวดหัวและทำให้หนักใจได้มากพอสมควรเลย เพราะการที่รถยนต์สตาร์ทไม่ติดเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเสียเวลา แล้วสาเหตุที่ทำให้รถเสียสตาร์ทไม่ติดเกิดจากอะไร และแก้ไขในเบื้องต้นได้อย่างไรบ้าง ในบทความนี้จะมาบอกกัน

 

สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเป็นปัญหาที่ชวนให้หนักอกหนักใจมากจริง ๆ ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุเลยดังต่อไปนี้

สาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

1. ไดสตาร์ทมีปัญหา

สาเหตุแรกนั่นก็คือ ไดสตาร์ทมีปัญหา สำหรับไดสตาร์ทนับว่าเป็นส่วนประกอบสำคัญที่มีอายุการใช้งานยาวนาน โดยทำหน้าที่แปลงเอาพลังงานไฟฟ้าให้กลายเป็นพลังงานกล เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานได้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมีการใช้งานเป็นเวลานานมากขึ้น ยิ่งรถอายุเยอะก็จะพบปัญหานี้ได้บ่อยๆ จึงทำให้ไม่สามารถสตาร์ทให้ติดได้นั่นเอง ดังนั้นควรทำการซ่อมบำรุงส่วนของไดสตาร์ทให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ

 

2. น้ำมันหมด

น้ำมันหมดคือสาเหตุพื้นฐานที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดเลยก็ว่าได้ เพราะน้ำมันคือหนึ่งในสิ่งที่ช่วยให้รถสามารถขับเคลื่อนไปได้ แน่นอนว่าหากลืมเติมน้ำมันจนปล่อยให้น้ำมันหมดก็ทำให้ไม่สามารถสตาร์ทรถติดได้ ทางที่ดีหากรู้แล้วว่าน้ำมันรถยนต์ใกล้มหมดก็ควรรีบหาปั๊มเพื่อเติม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น รวมถึงไม่ทำให้เครื่องยนต์เสียด้วย

 

3. ปั๊มติ๊กเสีย

ปั๊มติ๊ก ทำหน้าที่ในการดูดเอาน้ำมันจากถังมาส่งต่อไปยังเครื่องยนต์ หากว่าปั๊มติ๊กของรถเสียหรือทำงานผิดปกติ ส่งผลทำให้รถสตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน ซึ่งปัญหารถที่สตาร์ทไม่ติดจากปั๊มติ๊กเสียนี้ ก็พบได้บ่อยในรถยนต์เก่าเช่นกัน เนื่องจากว่าผ่านการใช้งานมานานปั๊มติ๊กจึงเสื่อมสภาพ

 

4. แบตหมดเพราะไดชาร์จเสีย

ไดชาร์จเสีย ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน เพราะไดชาร์จคือชิ้นส่วนที่คอยสร้างกระแสไฟฟ้าให้กับเครื่องยนต์ เพื่อส่งต่อกระแสไฟฟ้าต่อไปยังแบตเตอรี่ หากว่าไดชาร์จเสียหรือว่าเกิดปัญหาขึ้นทำให้ไม่สามารถจ่ายไฟไปยังแบตเตอรี่ได้ และส่งผลให้รถไม่สามารถสตาร์ทติดได้ในที่สุด

 

5. แบตเตอรี่เสื่อม

ปัญหาแบตเตอรี่เสื่อมนับว่าเป็นปัญหาทั่วไปที่พบได้บ่อยมาก ๆ เช่นกัน ซึ่งโดยปกติแล้วอายุการใช้งานของแบตเตอรี่จะอยู่ที่ประมาณ 2 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการขับขี่ด้วยว่ามีการใช้รถบ่อยมากแค่ไหน หากว่ามีการใช้งานรถหนักและไม่ได้เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ตามระยะเวลาที่กำหนด ก็เสี่ยงที่รถจะเกิดอาการสตาร์ทไม่ติด ดังนั้นจึงควรเช็กสถานะของแบตเตอรี่เป็นประจำ

 

6. ระบบไฟฟ้ามีปัญหาจากสายไฟชำรุด

ถัดมาคือระบบไฟฟ้ามีปัญหาจากสายไฟชำรุด สาเหตุนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากหลากหลายปัจจัย เช่น กล่อง ECU ขัดข้องหรือเกิดปัญหา หนูกัดสายไฟ อย่างไรก็ตามแม้ว่าสาเหตุนี้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยมากนักแต่หากว่ารถไม่ได้มีการใช้งานและจอดทิ้งไว้นาน ๆ ก็เป็นไปได้ว่าระบบไฟฟ้าเสียจากสายไฟชำรุดก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งหากเกิดขึ้นแล้วก็ส่งผลให้รถเสียและสตาร์ทไม่ติดได้

 

7. ขั้วแบตเตอรี่สกปรก

ขั้วแบตเตอรี่สกปรกก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหารถสตาร์ทไม่ติดได้เช่นกัน โดยปัญหานี้เกิดจากการไม่ค่อยดูแลรักษารถ ไม่มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ตามระยะเวลาที่ควรจะเป็น เมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ จะเกิดคราบขี้เกลือที่เกาะอยู่ตามขั้วแบตได้ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วการที่ทำให้รถเกิดกระแสไฟฟ้าขึ้นก็ทำได้ยาก ในที่สุดก็ทำให้ไม่สามารถสตาร์ทรถให้ติดได้นั่นเอง

 

อาการที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด

 

8. มอเตอร์สตาร์ทเสื่อม

มอเตอร์สตาร์ทเป็นอุปกรณ์สำคัญที่ทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์ เมื่อมอเตอร์สตาร์ทเสื่อมสภาพหรือชำรุด จะทำให้รถสตาร์ทไม่ติดหรือสตาร์ทติดยาก อาการของมอเตอร์สตาร์ทเสื่อม ได้แก่ มีเสียงดังผิดปกติขณะสตาร์ท รถสตาร์ทติดยากหรือต้องสตาร์ทหลายครั้ง หรือมอเตอร์สตาร์ทไม่ทำงานเลย ควรตรวจสอบและเปลี่ยนมอเตอร์สตาร์ทใหม่หากจำเป็น

 

9. หัวเทียนสกปรกหรือชำรุด

หัวเทียนทำหน้าที่จุดระเบิดส่วนผสมของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงในห้องเผาไหม้ หากหัวเทียนสกปรก ชำรุด หรือเสื่อมสภาพ จะทำให้ประกายไฟอ่อนหรือไม่มีประกายไฟ ส่งผลให้รถสตาร์ทไม่ติด ควรทำความสะอาดหรือเปลี่ยนหัวเทียนใหม่ตามระยะที่กำหนด และตรวจสอบช่องว่างของขั้วหัวเทียนให้ได้ตามมาตรฐาน

 

10. กรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตัน

กรองน้ำมันเชื้อเพลิงทำหน้าที่กรองสิ่งสกปรกในน้ำมันก่อนส่งเข้าสู่เครื่องยนต์ เมื่อกรองน้ำมันเชื้อเพลิงอุดตันจะทำให้น้ำมันไหลเวียนได้น้อย เครื่องยนต์ได้รับน้ำมันไม่เพียงพอ ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดหรือเครื่องดับกะทันหัน ควรเปลี่ยนกรองน้ำมันเชื้อเพลิงตามระยะที่กำหนด หรือเมื่อพบว่ามีการอุดตัน

 

11. ซีลหรือปะเก็นของเครื่องยนต์รั่ว

ซีลและปะเก็นของเครื่องยนต์ทำหน้าที่ป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเครื่องและน้ำหล่อเย็น รวมถึงรักษาแรงอัดในห้องเผาไหม้ หากซีลหรือปะเก็นรั่วจะทำให้เครื่องยนต์สูญเสียแรงอัด ส่งผลให้รถสตาร์ทไม่ติดหรือเครื่องเดินเบา ควรตรวจสอบและเปลี่ยนซีลหรือปะเก็นที่ชำรุดโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

 

12. กรองอากาศอุดตัน

กรองอากาศทำหน้าที่กรองฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกก่อนเข้าสู่ห้องเผาไหม้ เมื่อกรองอากาศอุดตัน จะทำให้อากาศไหลเข้าเครื่องยนต์ได้น้อย ส่งผลให้ส่วนผสมของอากาศและน้ำมันเชื้อเพลิงไม่เหมาะสม รถจึงสตาร์ทไม่ติดหรือเครื่องเดินไม่เรียบ ควรทำความสะอาดหรือเปลี่ยนกรองอากาศใหม่ตามระยะที่กำหนด

 

13. ระบบป้องกันการสตาร์ทขัดข้อง

ระบบป้องกันการสตาร์ท (Immobilizer) เป็นระบบรักษาความปลอดภัยที่ป้องกันการโจรกรรมรถยนต์ โดยจะอนุญาตให้สตาร์ทเครื่องยนต์ได้เฉพาะกุญแจที่ลงทะเบียนไว้เท่านั้น หากระบบ Immobilizer ขัดข้อง อาจทำให้รถสตาร์ทไม่ติดแม้จะใช้กุญแจที่ถูกต้อง ควรนำรถเข้าศูนย์บริการเพื่อตรวจสอบและแก้ไขระบบ Immobilizer โดยเฉพาะ

 

14. มอเตอร์สตาร์ทเสีย

มอเตอร์สตาร์ทเสียเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติด เมื่อมอเตอร์สตาร์ทเสีย จะไม่สามารถส่งกำลังไปหมุนเครื่องยนต์เพื่อสตาร์ทได้ ต้องทำการเปลี่ยนมอเตอร์สตาร์ทใหม่โดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

 

15. เซนเซอร์ต่างๆ ภายในห้องเครื่องมีปัญหา

เซนเซอร์ต่างๆ ในห้องเครื่อง เช่น เซนเซอร์ตำแหน่งเพลาข้อเหวี่ยง เซนเซอร์อุณหภูมิน้ำหล่อเย็น หรือเซนเซอร์แรงดันน้ำมันเชื้อเพลิง ทำหน้าที่ส่งข้อมูลสภาวะการทำงานของเครื่องยนต์ไปยังกล่องควบคุมเครื่องยนต์ (ECU) หากเซนเซอร์เหล่านี้ชำรุดหรือส่งสัญญาณผิดพลาด อาจทำให้ ECU สั่งงานผิดปกติ ส่งผลให้รถสตาร์ทไม่ติด ควรตรวจสอบและเปลี่ยนเซนเซอร์ที่ชำรุดโดยช่างผู้เชี่ยวชาญ

 

"สายพ่วงแบตเตอรี่" หรือ "เพาเวอร์แบงก์สำหรับจั๊มสตาร์ท" อุปกรณ์ที่ต้องมีติดไว้

หลายคนอาจคิดว่าปัญหารถสตาร์ทไม่ติดเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ๆ และโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก แต่ใครจะรู้ว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่บ้าง ทางที่ดีนอกจากที่จะต้องหมั่นเช็กและดูแลรักษารถให้ดีแล้ว ก็ควรที่จะมีอุปกรณ์สำคัญพกติดรถไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "สายพ่วงแบตเตอรี่" หรือ "เพาเวอร์แบงก์สำหรับจั๊มสตาร์ท" อุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาอาการสตาร์ทรถไม่ติดได้ เพราะอุปกรณ์นี้จะสามารถใช้พ่วงแบตเตอรี่จากรถคันอื่น ๆ ได้ และจะช่วยให้สตาร์ทรถได้ไปก่อน จากนั้นจึงค่อยนำไปซ่อมบำรุงกันต่อไป

สรุปเกี่ยวกับปัญหารถสตาร์ทไม่ติด

 

สรุปเกี่ยวกับปัญหารถสตาร์ทไม่ติด

คงจะได้ทราบกันแล้วว่าปัญหาที่ทำให้รถสตาร์ทไม่ติดหรือสตาร์ทติดยาก สามารถเกิดขึ้นได้จากสาเหตุใดบ้าง แม้ว่าโอกาสเกิดขึ้นมีน้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่โอกาสไปซะทีเดียว ดังนั้นจึงควรดูแลรถให้ดีและบำรุงรักษาอยู่เสมอ แต่ทั้งนี้หากหลีกเลี่ยงไม่ได้และเกิดปัญหานี้ขึ้นแล้วและไม่รู้จะปรึกษาปัญหาเพื่อหาสาเหตุจากใคร ก็สามารถเข้ารับการปรึกษาที่ EZY FIT ได้เลย พร้อมให้บริการถึงที่แบบครบวงจร ทั้งเปลี่ยนโช้ค ยาง และอื่น ๆฟรีตรวจเช็คสภาพรถยนต์ 25 รายการ เมื่อใช้บริการเปลี่ยนยางรถยนต์กับเรา สนใจโทร. 090-956-5566