6 วิธีพ่วงแบตรถยนต์อย่างปลอดภัย เมื่อรถสตาร์ทไม่ติด


คุณเคยเจอสถานการณ์ที่รถสตาร์ทไม่ติดตอนที่รีบออกไปทำงาน หรือมีธุระสำคัญไหม? นั่นอาจเป็นเพราะแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณหมดหรือเสื่อมสภาพ วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ดีที่สุดคือการพ่วงแบตรถยนต์ แต่หลายคนอาจไม่รู้วิธีที่ถูกต้องและปลอดภัย วันนี้ EZY FIT ศูนย์บริการดูแลรถยนต์ถึงบ้าน จะมาเรียนรู้วิธีพ่วงแบตรถยนต์อย่างถูกวิธีกัน

 

 ข้อควรระวังก่อนพ่วงแบตรถยนต์

 

 

ก่อนที่เราจะเริ่มพ่วงแบตรถยนต์ มีข้อควรระวังบางอย่างที่คุณควรรู้ เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเองและรถยนต์ของคุณ ดังนี้

 

  • ตรวจสอบว่าแบตเตอรี่ของคุณเป็นชนิด 12 โวลต์ : รถยนต์ส่วนใหญ่ใช้แบตเตอรี่ 12 โวลต์ แต่ก็มีบางรุ่นที่ใช้แรงดันไฟฟ้าอื่น ควรตรวจสอบให้แน่ใจก่อนพ่วงแบต
  • สวมอุปกรณ์ป้องกัน : ควรสวมแว่นตานิรภัยและถุงมือยางเพื่อป้องกันอันตรายจากน้ำกรดแบตเตอรี่
  • ห้ามสูบบุหรี่ หรือจุดไฟใกล้แบตเตอรี่ : แบตเตอรี่อาจปล่อยก๊าซไวไฟ การจุดไฟใกล้ๆ อาจทำให้เกิดการระเบิดได้
  • ตรวจสอบสภาพสายพ่วงแบตเตอรี่ : ใช้สายพ่วงที่มีคุณภาพดี ไม่มีรอยฉีกขาดหรือชำรุด
  • ระวังอย่าให้สายพ่วงสัมผัสกัน : การสัมผัสกันของสายพ่วงอาจทำให้เกิดประกายไฟและเป็นอันตรายได้
  • ศึกษาตำแหน่งขั้วบวกและขั้วลบของแบตเตอรี่ : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณรู้ตำแหน่งขั้วบวก (มักจะมีเครื่องหมาย + หรือสีแดง) และขั้วลบ (มักจะมีเครื่องหมาย - หรือสีดำ) ของแบตเตอรี่ทั้งสองคัน

 

การปฏิบัติตามข้อควรระวังเหล่านี้จะช่วยให้การพ่วงแบตรถยนต์ของคุณเป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

6 วิธีพ่วงแบตรถยนต์ที่ถูกต้องและปลอดภัย

 

 

เมื่อคุณพร้อมแล้ว มาเริ่มขั้นตอนการพ่วงแบตรถยนต์กัน โดยมีทั้งหมด 6 ขั้นตอนง่าย ๆ ที่คุณสามารถทำตามได้ แต่ละขั้นตอนมีรายละเอียดดังนี้

1. ดับเครื่องรถที่ต้องการพ่วงแบตรถยนต์

ขั้นตอนแรกในการพ่วงแบตรถยนต์คือการดับเครื่องยนต์และปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดของรถทั้งสองคัน ทั้งรถที่แบตเตอรี่หมดและรถที่จะมาช่วยพ่วง การทำเช่นนี้จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดประกายไฟหรือไฟฟ้าลัดวงจรระหว่างการต่อสายพ่วง นอกจากนี้ ให้จอดรถทั้งสองคันใกล้กันพอที่จะต่อสายพ่วงได้ แต่ไม่ให้ตัวถังรถสัมผัสกัน จากนั้นเปิดฝากระโปรงรถทั้งสองคันและหาตำแหน่งแบตเตอรี่

2. นำสายขั้วบวกต่อเข้ากับรถคันที่แบตหมด

เริ่มต้นด้วยการนำสายพ่วงสีแดง (ขั้วบวก) มาต่อเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่รถที่แบตหมด ขั้วบวกมักจะมีเครื่องหมาย "+" หรือสีแดงกำกับไว้ ต่อปลายอีกด้านของสายสีแดงเข้ากับขั้วบวกของแบตเตอรี่รถที่มาช่วย ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคีมหนีบของสายพ่วงจับยึดกับขั้วแบตเตอรี่แน่นดี เพื่อให้มีการเชื่อมต่อที่ดีและป้องกันการหลุดระหว่างการพ่วงแบต

3. นำสายขั้วลบต่อเข้ากับรถคันที่มาช่วย

ต่อมา ให้นำสายพ่วงสีดำ (ขั้วลบ) มาต่อเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่รถที่มาช่วย ขั้วลบมักจะมีเครื่องหมาย "-" หรือสีดำกำกับไว้ สำหรับปลายอีกด้านของสายสีดำ ไม่ควรต่อเข้ากับขั้วลบของแบตเตอรี่รถที่แบตหมด แต่ให้ต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะไม่เคลือบสีในห้องเครื่องยนต์แทน เช่น ก้านค้ำฝากระโปรง หรือจุดต่อกราวด์ของเครื่องยนต์ การทำเช่นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดประกายไฟใกล้กับแบตเตอรี่

4. สตาร์ทเครื่องยนต์คันที่มาช่วยทิ้งไว้

เมื่อต่อสายพ่วงเรียบร้อยแล้ว ให้สตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่มาช่วย และปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานสักพัก ประมาณ 2-3 นาที โดยเร่งเครื่องยนต์เบาๆ ที่ความเร็วรอบประมาณ 1,500-2,000 รอบต่อนาที การทำเช่นนี้จะช่วยให้แบตเตอรี่ของรถที่มาช่วยส่งกระแสไฟฟ้าไปยังแบตเตอรี่ที่หมด เป็นการชาร์จแบตเตอรี่เบื้องต้นก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตหมด

5. สตาร์ทเครื่องยนต์คันที่แบตหมด

หลังจากปล่อยให้เครื่องยนต์รถคันที่มาช่วยทำงานสักพัก ให้ลองสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตหมด หากสตาร์ทไม่ติดในครั้งแรก ให้รอสักครู่แล้วลองอีกครั้ง ถ้ายังไม่ติด อาจต้องตรวจสอบการเชื่อมต่อของสายพ่วงอีกครั้ง หรืออาจต้องรอให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จนานขึ้น เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดแล้ว ให้ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงานสักพัก และเร่งเครื่องเบาๆ เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จมากขึ้น

6. ถอดสายพ่วงแบตรถยนต์ออก

 

เมื่อเครื่องยนต์ของรถคันที่แบตหมดทำงานได้ดีแล้ว ถึงเวลาถอดสายพ่วงแบตออก โดยให้ทำตามลำดับดังนี้

  • ถอดสายสีดำออกจากจุดต่อกราวด์ของรถคันที่แบตหมด
  • ถอดสายสีดำออกจากขั้วลบของแบตเตอรี่รถคันที่มาช่วย
  • ถอดสายสีแดงออกจากขั้วบวกของแบตเตอรี่รถคันที่มาช่วย
  • ถอดสายสีแดงออกจากขั้วบวกของแบตเตอรี่รถคันที่แบตหมด
  •  

การถอดสายพ่วงตามลำดับนี้ จะช่วยป้องกันการเกิดประกายไฟและความเสียหายต่อระบบไฟฟ้าของรถได้

หลังจากถอดสายพ่วงแล้ว ให้ปล่อยให้เครื่องยนต์ของรถคันที่แบตเพิ่งหมดทำงานต่อไปอีกประมาณ 15-20 นาที เพื่อให้แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จเพิ่มเติม ควรหลีกเลี่ยงการดับเครื่องยนต์ทันทีหลังจากพ่วงแบต เพราะอาจทำให้ต้องพ่วงแบตใหม่อีกครั้ง

 

 

สรุปบทความ

การพ่วงแบตรถยนต์เป็นทักษะที่สำคัญสำหรับผู้ขับขี่ทุกคน เพราะปัญหาแบตเตอรี่หมดสามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด การรู้วิธีพ่วงแบตอย่างถูกต้องและปลอดภัย รู้ว่าต้องพ่วงแบตรถยนต์ขั้วไหนก่อน จะช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม ความปลอดภัยต้องมาก่อนเสมอ คุณควรปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างระมัดระวัง และถ้าไม่มั่นใจ ก็ควรขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ ไม่ควรทำด้วยตนเอง นอกจากนี้อย่าลืมให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดโอกาสที่จะต้องเผชิญกับปัญหาแบตเตอรี่หมดกลางทาง

มีปัญหารถยนต์สตาร์ทไม่ติด แบตเตอรี่หมด หรือเสื่อมสภาพอยู่ใช่ไหม? ไม่มีเวลาไปอู่ซ่อมรถใช่หรือเปล่า? ให้ EZY FIT เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เรามีบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์นอกสถานที่ รวมถึงบริการดูแลรถยนต์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เปลี่ยนยางรถยนต์นอกสถานที่ พร้อมตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ รวมถึงเปลี่ยนโช๊ครถยนต์ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง หรือ ล้างแอร์รถยนต์ ช่วยให้คุณดูแลทุกปัญหารถยนต์ครบจบในที่เดียว ดูแลโดยช่างซ่อมรถยนต์ชำนาญการ มั่นใจด้วยประสิทธิภาพการบริการและเครื่องมือที่ทันสมัยระดับสากล วางใจ EZY FIT สอบถามโทร. 090-956-5566 ได้เลย เจ้าหน้าที่ของเราพร้อมให้คำแนะนำอย่างดีที่สุด!