รู้หรือไม่ ยางรั่วแต่ละแบบมีวิธีการปะยางรถยนต์ที่ไม่เหมือนกัน


ผู้ที่ขับรถยนต์เป็นประจำ ต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยเป็นพิเศษ หมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์ของตัวเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะยางรถยนต์ทั้ง 4 ล้อ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนยานพาหนะ ผู้ขับขี่จึงควรสังเกตสภาพยางรถยนต์ให้ดี หากพบว่ารถยนต์ของเราเผลอไปเหยียบกับตะปูจนเกิดรั่ว หรือยางแบน ต้องรีบไปปะยางทันที ถ้าหากปล่อยไว้นานเข้าอาจหนักถึงขั้นต้องเปลี่ยนยางใหม่ทั้งเส้นได้ ซึ่งยางรั่วแต่ละแบบมีวิธีการปะยางรถยนต์ที่ไม่เหมือนกันด้วย สำหรับผู้ที่สงสัยว่าการปะยางมีกี่แบบ และต้องเลือกแบบไหนถึงจะดี ติดตามทุกรายละเอียดได้จากบทความนี้เลย

ทำความเข้าใจปะยางมีกี่แบบ

การปะยางรถยนต์จะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ การปะยางแบบสตรีมร้อน การปะยางแบบสตรีมเย็น และการปะยางแบบแทงหนอน เทคนิคการปะยางแต่ละประเภทดังกล่าวมีวิธีและขั้นตอน รวมถึงข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ดังนี้

1.การปะยางรถยนต์แบบแทงไหม

การปะยางแบบแทงไหม หรือ แทงตัวหนอน โดยใช้ตัวหนอนแทงเข้าข้างในยางเพื่ออุดรูรั่ว ซึ่งเป็นการปะยางแบบรวดเร็ว เหมาะกับการใช้งานชั่วคราว มักจะใช้กับรถที่ถูกตะปูทิ่มตำ เกิดรอยรั่วขนาดเล็ก แต่หากเป็นแผลรั่วขนาดใหญ่ ก็ไม่แนะนำใช้การแทงไหม เพราะไม่สามารถอุดรูรั่วจนสนิทได้ทั้งหมด

2.การปะยางรถยนต์แบบสตรีมร้อน

การปะยางแบบสตรีมร้อน เป็นเทคนิคการใช้แผ่นปะยางที่มีคุณสมบัติพิเศษทนต่อความร้อน เมื่อแผ่นยางเจอความร้อนแผ่นดังกล่าวจะละลายแนบติดกับเนื้อยาง ซึ่งใช้ในอุดรูรั่วได้เป็นอย่างดี แผ่นยางเรียบเนียนกลมกลืนเข้าไปกับเนื้อยางรถยนต์

3.การปะยางรถยนต์แบบสตรีมเย็น

การปะยางรถยนต์แบบสตรีมเย็น เดิมทีนั้นจะใช่ปะกับจักรยานหรือรถจักรยานยนต์เป็นหลัก แต่ปัจจุบันการปะแบบสตรีมเย็นเป็นที่นิยมสำหรับยางรถยนต์และรถกระบะเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกเลือกใช้มากกว่าแบบสตรีมร้อนอีกด้วย เพราะการปะยางแบบสตรีมเย็นนั้นจะไม่ทำลายโครงสร้างของยางที่เกิดจากความร้อน โดยการปะยางทั้งสตรีมร้อนและเย็นจะมีวิธีการที่คล้ายกัน แต่ในส่วนของสตรีมเย็นจะไม่ใช้ความร้อนเข้ามาเกี่ยว

สาเหตุยางรถยนต์รั่ว ยางแบนเกิดจากอะไรได้บ้าง

ยางรถยนต์รั่วนั้นสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

  • ปัญหาที่พบบ่อย คือ การขับรถเหยียบของมีคม อย่าง ตะปู เศษแก้วต่าง ๆ ทำให้ยางเกิดแผลรั่วซึมขนาดเล็กและทำให้ยางแบน
  • การขับรถตกหลุมหรือเบียดขอบทาง ส่งผลให้แก้มยางเสียหายจนเกิดรอยรั่วได้เช่นกัน
  • การเสื่อมสภาพของยาง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้แก้มยางอ่อนลงและเกิดความเสียหายได้ง่าย
  • ฝาปิดจุ๊บเสียหายหรือสูญหาย ทำให้เศษของมีคมขนาดเล็กต่าง ๆ เช่น เศษแก้ว เศษหิน น้ำ ฝุ่น  สามารถเข้าไปข้างใน จนทำให้วาล์วรั่วและเสียหายได้

สรุปบทความ

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในการแก้ไขและป้องกันยางรั่วซึม นั่นคือ ควรหมั่นตรวจเช็กสภาพรถยนต์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ ไม่มองข้ามปัญหาแม้เป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย และที่สำคัญควรเปลี่ยนอะไหล่รถยนต์ตามกำหนดสภาพอายุการใช้งานด้วย ไม่ฝืนใช้งานมันจนเกินอายุ เพราะยางรถยนต์ที่ทำหน้าที่ติดเกาะถนนทุกวัน ทางที่ดีควรเปลี่ยนทุก ๆ 3 ปี หรือทุก ๆ 50,000 กิโลเมตร และต้องสลับยางทุก ๆ 5,000 กิโลเมตร เพื่อให้หน้ายางสึกพร้อมกัน ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับเองและผู้ที่นั่งโดยสาร สำหรับใครที่รู้ตัวว่ายางทั้ง 4 เส้นใกล้ครบกำหนดเปลี่ยนแล้ว เรียก EZY FIT ได้เลย พร้อมให้บริการเปลี่ยนยางถึงหน้าบ้านแบบครบวงจร ฟรีค่าบริการ ตั้งศูนย์ ถ่วงล้อ เติมลมไนโตรเจน ฟรีตรวจเช็กสภาพรถยนต์ 25 รายการ สนใจโทร. 090-956-5566